10/11/2553

สิว สำคัญนะจะบอกให้ 3

เมื่อสิวน้อยลงแต่ก็ยังไม่หายหมด แถมยังมีรอยแดง รอยดำกระจายอยู่เป็นหย่อมๆ ลงรองพื้น คอนซิลเลอร์แล้วก็ปิดได้ไม่มิด จะทำยังไงดีหนอ นี่คือ ที่มาของเคล็ดลับข้อที่สองและสามของดรีม สำหรับการอยู่กับสิวอย่างสงบสุขค่ะ

ข้อที่สอง คือ เครื่องสำอางค์ที่จะไม่ทำให้สิวแย่ขึ้น ดรีมเป็นคนชอบแต่งหน้าค่ะ คอนซิลเลอร์กลบสิวเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะถึงแม้มันจะยังปูดๆ บวมๆ อยู่ แต่ถ้ามันไม่แดงเด่น ก็พอจะเรียกความมั่นใจคืนมาได้พอสมควรค่ะ ตอนนี้ ดรีมหันไปใช้เครื่องสำอางค์ประเภท mineral makeup เพราะเห็นเขาว่ากันว่า มันเป็นธรรมชาติและน่าจะส่งผลดีต่อผิวที่เป็นสิว บางคนถึงขั้นยืนยันว่า พอหันมาใช้ mineral makeup แทนรองพื้นข้นๆ เหนียวๆ แล้ว สิวก็หายไปอย่างถาวรเลยทันที

กรณีของดรีม ก็ยังบอกไม่ถูกเหมือนกันว่า มันจะทำให้หน้าดีขึ้นขนาดนั้นหรือเปล่า รู้แต่ว่าสิวก็ไม่ได้เลวร้ายลง และมีท่าทีจะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่รู้เป็นเพราะ mineral makeup หรือยาทาสิวที่ดรีมหันมาใช้อย่างสม่ำเสมอกันแน่ แต่ผลที่ได้แน่ๆ คงเป็นผลด้านจิตใจค่ะ เพราะเวลาแต่งหน้า ดรีมจะรู้สึกว่า ไม่ได้ทารุณกรรมกับหน้ามากเกินไป ปัดรองพื้นธรรมชาติแบบบางเบา แม้จะกลบสิวไม่มิดเหมือนพวกครีมหนาๆ แต่ก็รู้สึกว่า มันน่าจะไม่ไปอุดตันรูขุมขน

ข้อที่สาม คือ วางใจให้ถูก แล้วจะรู้สึกดีขึ้น คนเป็นสิวส่วนใหญ่จะอายค่ะ ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนซะหน่อย นอกจากอาจจะเป็นภาพที่ไม่น่าพึงชมซะเท่าไหร่สำหรับคนที่เห็น แต่ใครล่ะคะจะอยากเป็นสิว ยิ่งในสังคมยุคปัจจุบันที่ต้องสวย ต้องใส ต้องขาว ต้องหุ่นดี ต้อง....อีกมากมายที่ต้องเป็นเพือให้ดูดี เป็นที่ยอมรับในสังคม

แต่เชื่อดรีมเถอะคะ คนอื่นเขาไม่ได้เดือดร้อนกับรูปลักษณ์ของเรามากไปกว่าตัวเราเองหรอก ส่วนใหญ่ก็เรานี่แหละคะที่ทำตัวเอง เวลาส่องกระจกเห็นสิวแล้วก็เกิดอาการจิตตกไปสารพัด อายผู้คน ยิ่งถ้าสายตาเขามองมาแถวๆ ที่สิวเรากำลังเห่อนี่ แทบอยากจะหนีกลับบ้านแล้วสาบานว่าจะไม่ออกจากบ้านไปไหนอีกเลยจนกว่าสิวจะยุบ

ตัวเรานี่แหละคะที่ทำให้อะไรๆ มันดูร้ายแรงเกินจริง คนอาจจะมองเห็นสิวเราแล้วก็อาจจะนึกในใจนิดนึงว่า "ยัยนี่มีสิวเม็ดใหญเชียว" สักประมาณ 1 วินาทีคะ หลังจากนั้นเขาก็หันไปสนใจเรื่องของเขาต่อ เรื่องบ้าน เรื่องแฟน เรื่องงาน สารพัดที่เขาจะต้องนึกถึง เขาไม่มาหมกหมุ่นอยู่กับปัญหาสิวบนใบหน้าคนอื่นหรอกคะ เพราะมันไม่ใช่หน้าเขา

เราอย่าเอาคุณค่าของตัวเองทั้งหมดไปไว้ที่ใบหน้าเลยนะคะ โอ เค หน้าเราอาจจะมีสิว แต่เราก็ยังมีคุณค่าอื่นๆ อีกมากมายนี่นา ดรีมเคยจิตตกเวลามีสิว ทำให้ไม่ค่อยอยากเจอผู้คน พอเจอแล้วก็ไม่ค่อยร่าเริงแจ่มใส เพราะใจมันกังวล แต่พอเปลี่ยนวิธีคิด ใช้คาถา "ช่างมัน" ให้มากขึ้น ทำตัวร่าเริงยิ้มแย้มตามปรกติ ดรีมว่าคนรอบข้างเขากลับดีกับดรีมและอยากอยู่ใกล้ดรีมมากขึ้นกว่าเดิมนะคะ เพราะเอาเข้าจริงๆ มนุษย์ไม่ได้ชอบอยู่แต่กับคนที่สวยงามหรอกคะ มนุษย์ต้องการอยู่กับคนที่สดใส โอบอ้อมอารีด้วย อย่าไปคิดว่าถ้าชั้นไม่สวย ชั้นหน้าไม่เนียน แล้วจะไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ ตรงกันข้าม คนสวยใสหน้าเนียนกริบแต่นิสัยแย่ก็ไม่มีใครเอาเหมือนกันนะ ดรีมว่า

เคล็ดลับ คือ เวลาอยู่กับใคร จงใส่ใจทุกสิ่งที่เขาพูด อยู่กับเขา อย่ามัวแต่นั่งนึกจินตนาการแต่หน้าตัวเองที่มีสิว ใครๆ ก็ชอบเห็นตัวเองมีความสำคัญทั้งนั้นแหละคะ ถ้าเราทุ่มเทความใส่ใจให้กับเขา เป็นคู่สนทนาที่ดี เชื่อดรีมเถอะคะ เขาไม่สนหรอกว่า คุณมีสิวที่หน้ากี่เม็ด ก็คุณออกจะน่ารักขนาดนี้

ถ้าคุณบอกว่า คุณทำใจไม่ได้เพราะคุณเคยเป็นสาวผิวใส ไม่เคยมีสิวมาก่อน ดรีมก็ขอเป็นกำลังใจให้คุณทำใจได้ในเร็ววันนะคะ เพราะสิวมีแต่จะแย่ลงถ้าคุณอยู่ด้วยความเครียด ดรีมก็เป็นคนที่ไม่เคยมีสิวมาก่อน และเป็นคนที่ภูมิใจกับผิวของตัวเองมากคนหนึ่ง แต่แล้วความภูมิใจนั้นก็ค่อยๆ หายไปด้วยเจ้าสิวนี่แหละ จนดรีมเคยคิดว่า ดรีมไม่เอาผิวดีแบบเดิมก็ได้ จะเป็นฝ้าหรือตีนกาก็จะไม่บ่น ขอแค่ไม่มีสิวได้ไหม แต่เอาเข้าจริงๆ เราก็ไม่สามารถบันดาลทุกอย่างตามใจเราได้คะ อันนี้เป็นสัจธรรมของโลกนะคะ เราต้องเลิกเอาแต่ใจตัวเองว่า ทุกอย่างต้องเป็นอย่างที่เราต้องการ สิ่งที่เราต้องทำคือ รักษามัน(สิว)และเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ในระหว่างที่มันยังไม่หาย อย่าให้มันบั่นทอนความสุขและชีวิตของเราอีกต่อไปเลย

การรักษาสิวต้องใช้เวลานะคะ ดรีมเองก็เพิ่งค่อยๆ ดีขึ้น ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะทำใจได้และเครียดน้อยลงด้วยหรือเปล่า สิวดรีมถึงดีขึ้นได้ทั้งๆ ที่ก็รักษาแบบเป็นๆ หายๆ มาสิบกว่าปีแล้ว หรือว่ามันดีขึ้นคราวนี้แล้วมันจะกลับมาใหม่ ก็คงไม่มีใครตอบได้ค่ะ แต่อย่างน้อยดรีมรู้ว่า ดรีมจะไม่ยอมให้มันมาขโมยชีวิตดรีมอีกต่อไป

ดรีม

สิว สำคัญนะจะบอกให้ 2

ตอนที่แล้ว เราพูดกันถึง ความร้ายแรงของปัญหาสิวๆ ที่ไม่ใช่ปัญหาจิ๋วๆ อย่างที่หลายคนเข้าใจ มาถึงตอนนี้ ดรีมอยากจะเล่าประสบการณ์ของตัวเองที่ทำให้ดรีมรู้สึกว่า สามารถอยู่กับสิวได้อย่างเป็นสุขมากขึ้นตามที่เกริ่นไว้คราวที่แล้วนะคะ

อย่างที่สารภาพไปว่า ทำมาแล้วทุกทาง สิวเพื่อนรักก็ยังอยู่บนหน้าไม่ยอมไปไหนซักที มากบ้างน้อยบ้าง แล้วแต่อารมณ์หล่อนล่ะคะ หล่อนจะวีนแตก กระจายเบ่งบานทั่วหน้า ช่วงก่อนประจำเดือนมาเป็นพิเศษ แล้วพอประจำเดือนหมด เธอก็หายอารมณ์ร้อนลงหน่อย ยอมเป็นแค่เม็ดแดงๆ เล็กๆ ที่พอจะใช้เครื่องสำอางค์กลบเอาได้ บางทีกินไฟเบอร์น้อย ไม่เข้าห้องน้ำไปวัน สองวัน เธอก็หงุดหงิดขึ้นมาอีก ผุดขึ้นมาปลายคางแบบอักเสบบวมแดงให้ได้อายคนรอบข้างอยู่เป็นอาทิตย์

เวลาส่องกระจกเห็นหล่อนแล้วเราก็เซ็งนะคะ จะแต่งหน้าก็เซ็ง จะมีประชุมสำคัญต้องพรีเซ็นท์งานต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่ ก็เซ็ง คือ เราก็อายุไม่น้อยแล้ว ยังมีสิวอยู่นี่ เราควรจะอายมากกว่าเด็กวัยรุ่นที่มีสิวหรือเปล่าค่ะ ใครตอบได้ช่วยตอบที อีกหน่อยลูกโตเป็นวัยรุ่น ลูกมีสิว แม่กับลูกก็ไปหาหมอสิวพร้อมกันยังงั้นเลย ประหยัดเวลาดี โอ้ย ไม่อยากจะคิดค่ะ ขอได้โปรดอย่าให้เหตุการณ์เช่นนั้นเป็นจริงขึ้นมาเลย

ดรีมว่าจะไม่บ่นแล้ว ก็บ่นต่ออีกหน่อยจนได้ซิน่า จริงๆ ก็บ่นไปยังงั้นแหละคะ เพราะตอนนี้ ถึงแม้ว่าจะยังเซ็งอยู่ แต่ก็สามารถอยู่ร่วมกับสิวได้อย่างมีความสุขกว่าแต่ก่อนเยอะ เลยอยากจะมาแบ่งปันว่า เกิดอะไรขึ้น คิดอะไรได้หรือ ชีวิตถึงได้รับผลกระทบจากสิวน้อยลง

ข้อแรก คือ สิวมันน้อยลงค่ะ เว่ากันซื่อๆ เลยก็คือ ที่มันรู้สึกดีขึ้นได้เนี่ยก็เพราะสิวมันน้อยลงนี่แหละค่ะ ถึงแม้จะยังไม่หายขาด แต่สิวของดรีมก็ดีขึ้นเยอะ และมีทีท่าว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วย หลังจากที่ดรีมได้พบสัจธรรมข้อหนึ่ง คือ...

สิวจะไม่มีวันดีขึ้นได้เลย ถ้าเราเปลี่ยนวิธีรักษาไปมา ดรีมว่ามันเป็นทั้งโอกาสและปัญหาของคนยุคนี้ที่มีทางเลือกเยอะแยะมากมายไปหมด ถ้าเราลองอะไรซักสองสามอาทิตย์แล้วไม่ดีขึ้น เราก็พร้อมจะเปลี่ยนไปใช้เครื่องสำอางค์ ยา หรือคลีนิคแห่งใหม่ทันที เพราะมันมีทางเลือกอีกมากมายให้เราลอง

ดรีมเคยอ่านเจอใน web ว่า มีงานวิจัยของฝรั่งที่เขาสรุปว่า คนไข้สิวหลายรายเปลี่ยนยาก่อนที่ยาจะรักษาได้ผลไปอย่างน่าเสียดาย เพราะยาทาสิวหลายตัวต้องใช้เวลา 2-4 เดือน กว่าจะเห็นผล พอเจอคนใจร้อน ก็เลยเกิดเป็นวัฏจักรลองของใหม่-ใช้ไม่ได้ผล-ลองของใหม่ไปเรื่อยๆ แล้วก็บ่นว่า ไม่มีวิธีหรือยาตัวไหนที่รักษาตัวเองหาย

ดรีมเองก็อยู่ในวัฏจักรที่ว่านี่เหมือนกันค่ะ คือ พอเห็นว่าวิธีหรือยาตัวนี้ไม่ได้ผลภายในหนึ่งเดือน บวกกับเป็นคนชอบลองของใหม่ เห็นโฆษณาอะไรหรือใครมาบอกอะไร ก็พร้อมจะเปลี่ยนไปใช้ของใหม่ทันที แล้วก็มานั่งหงุดหงิดว่าใช้อะไรๆ ก็ไม่ได้ผล แต่พอดรีมหันมาตั้งอกตั้งใจกับการใช้ยาตัวเดิมๆ ต่อเนื่องมาเกือบสองเดือน ก็พบว่าสิวกลับค่อยๆ ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดค่ะ เพราะดรีมใจเย็น อดทนรอคอยให้เขาได้ค่อยๆ ทำงานของเขานี่เอง

แต่อีกใจหนึ่งดรีมก็หวังนะคะว่า คงจะมีซักวันที่ดรีมจะได้เลิกใช้ครีมทาสิวเหล่านี้ ดังนั้น ในระยะยาว ดรีมก็ตั้งใจว่าจะค่อยๆ ปรัปปรุงสุขภาพของตัวเอง ด้วยการดูแลระบบขับถ่าย ทานอาหารที่มีประโยชน์ แล้วก็เลิกเครียดง่ายด้วย เพราะดรีมยังเชื่อว่า หากระบบต่างๆ ในร่างกายเราสมบูรณ์แข็งแรง สิวก็จะสามารถหายไปได้อย่างถาวรค่ะ

ตอนหน้า เราจะมาคุยถึงวิธีทำใจอื่นๆ ที่ช่วยให้ดรีมอยู่กับใบหน้าที่เป็นสิวได้อย่างสงบสุขมากขึ้นนะคะ

ดรีม

10/10/2553

สิว สำคัญนะจะบอกให้

ใครเกิดมาหน้าใสเรียบเนียนตั้งแต่เด็กจนแก่ คงไม่เข้าใจ ทำไมสาวๆ ที่มีสิวชอบทำเหมือนจะเป็นจะตายกะอีแค่มีสิว ไม่ได้เป็นมะเร็ง เบาหวาน หรือไข้หวัด 2009 ซะหน่อย แต่คนที่เป็นสิวเหมือนกัน มองตาแล้วก็เข้าใจกันว่า มันก็ไม่ได้จะเป็นจะตายหรอกนะ...แต่มันเซ็งงงงงงงงงง เข้าใจไหม!!! ก็แค่อยากเป็นคนผิวหน้าปรกติ ไม่ต้องเนียน เด้งอะไรมากก็ได้ ขอแค่อย่าให้มันมีเม็ดปูดๆ แดงๆ เด่นมาแต่ไกลเท่านั้นเอง

ใครที่เคยเป็นสิวแบบเรื้อรัง คงจะพอนึกออกใช่ไหมคะว่า สิวเนี่ยมันเป็นเพื่อน "ทุกข์" เพื่อน "ยาก" มากเลย คือมีมันแล้วก็จะ"ทุกข์" แล้วมันก็หาย "ยาก" ถึงยากที่สุด บางทีแกล้งทำเนียนๆ หายไปสาม สี่วัน กำลังอารมณ์จะดี ตื่นมาอีกที เม็ดเป้งกลางหน้าผากหรือปลายคางผุดมาอีกแล้ว ฮือ ฮือ แกจะจองล้างจองผลาญฉันไปถึงไหน ไอ้สิวบ้า!!!

ดรีมเองสู้กับสิวมาตั้งแต่อายุ 19 จนตอนนี้ปาเข้าไป 35 แล้ว ก็ยังมีมันเป็นเพื่อนทุกข์ เพื่อนยาก ไม่ยอมไปไหนซักทีค่ะ เราก็สงสัย ทำไมตอนวัยรุ่นหน้าเนี๊ยน เนียน สิวพันธ์ไหน ไม่ว่าสิวผด เม็ดข้าวสาร สิวอักเสบ อะไรก็ไม่เคยมีกะเขาซักที จนเพื่อนชมว่า หน้าทำไมเนียนเหมือนลงแป้งไว้ตลอดเวลาเช่นนี้ แต่อยู่ดีๆ พอใกล้จะบรรลุนิติภาวะ สิวก็มาเยือนเอาดื้อๆ ซะงั้น ตอนแรกมันก็เกรงใจ มาทีละเม็ดสองเม็ดนานๆ ที เราก็ โอ้ย สิวเรื่องเล็ก อีกอาทิตย์ก็หาย เดี๋ยวเนียนเหมือนเดิม! แต่พอเริ่มแก่ สิวมันก็เริ่มซอยค่ะ คือ ซอยความถี่ของการขึ้นเม็ดใหม่ ประเภทที่ว่าเม็ดเก่าไม่ทันหาย เม็ดควายใหม่ก็เข้ามาแทรก รอยแดง รอยดำเริ่มสะสม หน้าเนียนๆ ขาวๆ ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป กลายเป็นหน้ากระดำ กระด่าง

พอมันเปลี่ยนจากเรื่องเล็กมาเป็นเรื่องใหญ่ ก็ต้องวิ่งแจ้นหาหมอซิคะ หามาตั้งแต่เป็นนึกศึกษาน่ะแหละคะ จนป่านนี้แล้ว ก็ยังต้องหอบหน้าแก่ๆ ของตัวเองไปแย่งคิวหมอสิวกับพวกวัยรุ่นเขาอยู่เป็นพักๆ พอมันไม่หายซักที บวกกับเริ่มหันมาสนใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น ได้อ่านหนังสือ ตำราต่างๆ ก็เลยเกิดความคิดใหม่ขึ้นมาว่า สงสัยแนวทางรักษาเรามันจะไม่ถูกซะละมั่ง เพราะเปลี่ยนคลีนิค เปลี่ยนเครื่องสำอางค์มาก็แทบจะหมดทุกแบรนด์แล้ว ก็ยังเป็นสิวอยู่ ชะรอยมันจะเป็นเรื่องของภายในซะละมากกว่ามั่ง หรือ อย่างที่เขาบอกๆ กันว่า เมื่อสุขภาพร่างกายเราไม่แข็งแรง หรือมีสารพิษในร่างกายเยอะ ระบายไม่ทัน มันก็จะขับออกมาทางผิวหนังหรือ สิวนี่เอง

พอเริ่มเชื่ออย่างนี้ ก็ได้ฤกษ์เริ่มมหากาพย์แห่งการกำจัดสารพิษในร่างกายค่ะ ตั้งแต่กินยาจีนขับสารพิษ อดอาหาร 3 วัน 5 วัน ใช้ supplement ประเภท colon cleansing, liver cleansing จากอเมริกา ตรวจเลือดหาสารอาหารที่ร่างกายเราขาดแคลน ทานวิตามินวันละหนึ่งกำมือ ฯลฯ แต่ไม่อยากจะบอกเลยคะ ว่าผ่านไปสิบกว่าปี ไอ้เพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากนี่มันก็ยังอยู่..มันไม่ยอมหายค่าาาาาาาาาา!!

จริงๆ แล้ว มันก็มีหลายคน โดยเฉพาะพวกฝรั่ง ที่เขายืนยันนะคะว่า หากดำรงชีวิตแนวสุขภาพจริงๆ คือ ทำ detox ออกกำลัง ทานแต่อาหารดีๆ พวกผัก ผลไม้ งดเนื้อสัตว์ อาหารหวานๆ มันๆ ดูแลระบบขับถ่ายให้ดีๆ แล้วสิวก็จะสามารถหายไปได้อย่างถาวรจริงๆ ซึ่งดรีมก็เชื่อแหละคะว่า เขาคงไม่ได้โกหก และมัน work กับเขาจริงๆ แต่มันคงไม่ใช่สำหรับทุกคน เพราะถ้าคนที่เป็นสิวจากการแพ้เครื่องสำอางค์ ต่อให้ detox แค่ไหนก็คงไม่หาย ถ้ายังใช้เครื่องสำอางค์ตัวต้นเหตุอยู่ จริงไม๊คะ และที่สำคัญคือ การดำรงชีวิตแบบนั้น มันยากมากๆๆๆๆ ค่ะ

การรักษาสิวจากภายในต้องอาศัยความมุ่งมั่นสูงมากที่จะปฏิเสธของอร่อยๆ ที่เคยชอบ คนที่เราทานข้าวด้วยก็อาจจะอึดอัดรำคาญว่า ไอ้โน่นก็กินไม่ได้ ไอ้นี่ก็กินไม่ได้ ดรีมยังจำได้ว่า ช่วงที่อดอาหาร 5 วัน ดื่มแต่น้ำผลไม้กับสมุนไพรล้างพิษของฝรั่ง ดรีมโหยมากๆแทบไม่มีเรี่ยวแรงทำอะไรเลย หิวก็หิว แต่ก็ไม่ยอมกินนะคะ เอาแต่ขอดมอาหารของสามีแก้อยากไปพลางๆ ใครนึกภาพตามคงนึกเวทนาดรีมน่าดู เห็นไม๊คะ ว่า เรื่องสิวน่ะมันสำคัญขนาดไหน ดรีมยอมทำถึงเพียงนี้ก็เพราะหวังว่า จะได้หายจากสิวอย่างถาวรเสียที แต่ดรีมก็อดทนทำได้ไม่นานหรอกค่ะ สักพักก็ต้องหวนกลับไปดื่มกาแฟเย็น กินของทอดที่เคยชอบๆ อีกจนได้ แล้วก็พยายามกลับไปล้างพิษใหม่ วนเวียนอยู่อย่างนี้ สิวก็ไม่หาย

สรุปว่า ดรีมลองมาเกือบหมดทุกทางค่ะ บางวิธีอาจจะช่วยได้บ้าง แต่สุดท้ายมันก็ไม่เคยหายไปอย่างถาวร ดรีมหมดไปเป็นแสนล่ะค่ะ ถ้ารวมเอาตั้งแต่ค่ายาหมอผิวหนัง ค่าทำเลเซอร์ ค่า supplement ต่างๆ ที่พยายามหามารักษาอาการสิว

บางคนอ่านมาถึงตอนนี้ คงนึกอยากประณามดรีมว่า หลอกให้อ่านมาซะตั้งนาน เพื่อที่จะบอกว่า เธอทำมาทุกทางแล้วมันก็ไม่หายแค่เนี้ยนะ!! จริงๆ ก็...เอ่อ...แค่นี้แหละคะที่จะบอก ตามชื่อเรื่องว่า "สิว สำคัญนะจะบอกให้"ไม่งั้นผู้หญิงคนหนึ่งจะทุ่มเทแรงกาย แรงใจ และเงินทองซะขนาดนี้ เพื่อขอให้หายจากโรคนี้เชียวเหรอ ดรีมยังเคยคิดเล่นๆ ว่า ถ้าดรีมทุ่มทุน ทุ่มเวลาให้กับเรื่องเรียนเท่ากับเรื่องสิว ป่านนี้ดรีมคงจบดอกเตอร์สาขานาโนเทคโนโลยีไปแล้วแน่ๆ ค่ะ

ใครที่ได้ผ่านเข้ามาอ่านบทความนี้ ดรีมแค่อยากจะบอกคุณว่า คุณไม่ได้เป็นคนเดียวในโลกที่กำลังเผชิญปัญหานี้อยู่นะคะ อย่างน้อยก็มีดรีมที่กำลังเผชิญกับปัญหาโลกแตกนี้อยู่อีกคน บวกกับอีกไม่รู้กี่ล้านคนในโลก ดรีมก็ไม่กล้าจะเก็งตัวเลข แต่ลอง google เรื่องของสิวเป็นภาษาต่างๆ ดู แล้วคุณจะรู้ว่า ผู้คนจำนวนมากๆๆๆ กำลังเป็นทุกข์เพราะไอ้เรื่องสิวๆ อยู่เหมือนกับคุณ

ตอนหน้า ดรีมจะมาเล่าให้ฟังถึงเคล็ดลับที่ทำให้ดรีมมีชีวิตอย่างมีความสุขมากขึ้นแม้ว่าจะยังเป็นสิวอยู่ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับใครบางคนที่กำลังประสบปัญหาแบบเดียวกันนะคะ

จนกว่าจะพบกันใหม่ค่ะ
ดรีม

Treatment บทละครทรายสีเพลิงตอนที่ 2

ตอนที่ 2
ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ทรายเติบโตเป็นสาวสวยทรงเสน่ห์ที่ร่ำรวย เมื่อกลับมาถึงบ้าน ทรายได้รับข้อความจากสตีฟที่ฝากไว้ที่เครื่องตอบรับโทรศัพท์ สตีฟคร่ำครวญถึงความรักที่ตนมีต่อทราย และบอกว่าตนไม่เคยคลั่งไคล้ผู้หญิงคนไหนเท่าทรายมาก่อน ทรายได้ยินแล้วยิ้มด้วยความพึงพอใจ เสียงกริ่งประตูดังขึ้น ปรากฎว่า ฌาน มาหา ฌานเล่าให้ทรายฟังว่า ฌานจะต้องไปอยู่ที่เมืองไทยเพื่อดูแลโครงการก่อสร้างของนอร์แมน หว่อง พ่อเลี้ยงของฌาน ทำให้จะไม่ได้เจอทรายบ่อยๆ อีก ทรายหยอกเย้าว่า แล้วฌานเอาสาวๆ ที่มากมายของตนไปทิ้งไว้ไหน ฌานสบตาซึ้งและบอกทรายว่า ตนจะหยุดชีวิตเจ้าชู้ เมื่อทรายพร้อมที่จะแต่งงานด้วย ฌานโน้มตัวจะเข้าไปจูบทราย แต่ปรากฎว่า คีตากับฝ้ายมาขัดจังหวะซะก่อน

คีตากับฌานพูดถึงบุรี ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของฌานว่า เป็นคนที่คอยดูแลคีตาให้อยู่ในร่องในรอยจนเรียนสำเร็จ ทรายเลยอยากรู้จักบุรี เพราะเห็นคีตาและฌานพูดถึงชื่อคนนี้บ่อยๆ ระหว่างที่คีตากับฝ้ายช่วยกันล้างจานในครัว ฝ้ายได้รู้จากคีตาว่า แม่ของฌานเป็นลูกครึ่งฮ่องกง อังกฤษ และมีพ่อเป็นคนไทย แต่แม่ฌานแต่งงานใหม่กับเศรษฐีอสังหาริมทรัพย์ชาวฮ่องกง ฌานเลยใช้ชีวิตไปๆ มาๆ ระหว่างฮ่องกง อเมริกา และเมืองไทย ส่วนทรายนั้น เป็นคนไทยแท้ๆ แต่มีพ่อเลี้ยงเป็นเศรษฐีอเมริกันชื่อ ดอน ดาลตัน คีตาบอกฝ้ายว่า ทรายและฌานเหมาะสมและสนิทชิดเชื้อกันมาก แต่ต่างคนต่างก็มีกิ๊กเยอะด้วยกันทั้งคู่

ดวงตามาเยี่ยมทรายที่บ้าน บ่นเป็นห่วงที่ไม่มีผู้ชายคนไหนชนะใจทรายได้ซักที ทรายบอกแม่ว่า ในเกมความรักทรายต้องการเป็นผู้ชนะมากกว่า เมื่อแม่กลับไป ฌานมาหาทรายเพื่อขอค้างด้วย เพราะต้องหนีสาวที่ตามมาหาถึงอพาร์ทเมนท์ ทรายจะให้ฌานนอนห้องแขก ฌานถามว่า ขอนอนห้องทรายไม่ได้เหรอ เพราะตนยังจำคืนแห่งความทรงจำระหว่างทั้งสองได้ ทรายบอกฌานว่า ทรายยังไม่อยากได้สามีมาแทนเพื่อนที่รู้ใจอย่างฌาน ฌานไม่ฝืนใจทราย แต่ขอให้ทรายนึกถึงฌานเป็นคนแรก เมื่อทรายพร้อมจะหยุด ทรายไม่เข้าใจตัวเองว่าเหตุใดจึงหยุดอยู่ที่ฌาน ชายที่ดีพร้อมเช่นนี้ไม่ได้

ดวงตาโทรหาทรายบอกเรื่องคุณหญิงศิริถึงแก่กรรม และทนายต้องการให้ทรายกลับไปร่วมเปิดพินัยกรรมที่เมืองไทย ดวงตาไม่อยากให้ทรายกลับไปเพราะจะเป็นการรื้อฟื้นอดีตที่เจ็บปวดของทรายในวัยเด็ก ทรายขอแม่คิดดูก่อน วันต่อมาฝ้ายมาให้ทรายช่วยตรวจการบ้าน เมื่อได้ใกล้ชิดกับฝ้ายซึ่งอยู่ในวัยเดียวกับลูกศร ทรายก็นึกย้อนไปถึงความเป็นรองของตนสมัยที่อยู่กับลูกศร ทรายจึงบอกแม่ว่า ตนตัดสินใจที่จะกลับไปเมืองไทย

ทรายกลับมาที่เมืองไทยอย่างหรูหรา โดดเด่น สร้างความตกตะลึงให้คนที่พบเห็น เมื่อเช็คอินเข้าโรงแรมหรูแล้ว ทรายไปหาฌานที่ทำงาน ได้เจอกับลัดดา เลขาขี้วีนของฌาน ลัดดาไม่ยอมให้ทรายเข้าพบฌาน แต่ฌานออกมาเจอพอดี เลยชวนทรายให้เข้าไปคุยต่อในห้อง ฌานชวนทรายไปค้างที่คอนโด แต่ทรายปฏิเสธ และขอให้ฌานหารถให้ใช้เท่านั้นพอ นอร์แมนโทรมาหาฌาน ทรายเลยขอตัวกลับไปก่อน นอร์แมนเตือนฌานให้นึกถึงบุญคุณที่เขาซื้อบ้านที่เคยเป็นของพ่อฌานให้กลับมาเป็นของฌาน และบอกว่าถึงเวลาแล้วที่ฌานควรจะใช้ประโยชน์จากที่ผืนนั้น ทำโครงการที่จะสร้างกำไรมหาศาลให้กับบริษัท

บุรีกับกี้อยู่ที่โฮมออฟฟิศ ซึ่งบุรีกับพรรคพวกร่วมกันเปิดเป็นบริษัทด้านสถาปัตย์และตกแต่งภายใน ชีวินโทรมาตามให้บุรีไปช่วยกันดูป้ายผับ ธุรกิจอีกอย่างที่พรรคพวกเปิดร่วมกัน เมื่อบุรีเดินไปถึงผับก็เจอสุนทรีและเขตพิจารณาป้ายอยู่กับชีวินและพัช สุนทรีเห็นว่าป้ายดีแล้ว เพราะไม่อยากให้ช่างต้องลำบากเอากลับไปแก้ ทุกคนขำในความน่ารัก ใจดีของสุนทรี ระหว่างทางเดินกลับมาที่บ้าน สุนทรีถามถึงฌานด้วยความเป็นห่วงเป็นใย บุรีแกล้งบ่นน้อยใจว่า แม่รักฌานมากกว่าลูกตัวเอง

ช่วงอาหารเย็น เพื่อนๆ ของบุรีอยู่กันพร้อมหน้าที่โฮมออฟฟิศเพื่อคุยเรื่องงานเปิดผับวันรุ่งขึ้น บุรีถามพัชระว่าจะมาได้หรือ เพราะเป็นงานเผาศพของคุณย่าลูกศร พัชระบอกว่า น่าจะปลีกตัวมาได้ เพราะงานเผาศพจัดขึ้นในช่วงบ่าย

ที่งานศพ กี้ ต้อย และชีวิน นินทาว่าคนมางานน้อยทั้งๆ ที่เป็นงานของคนระดับคุณหญิง และนินทาว่าดูจากรูปของคุณหญิงศิริแล้ว ท่าทางจะเป็นคนดุและน่ากลัว บุรีมองปรามเพื่อนๆ ที่นินทาคนตาย แล้วนึกย้อนไปถึงคำของครูนารี ผู้เป็นยาย ว่าคุณหญิงศิรินั้นเป็นแม่ที่ไม่ดี ส่งเสริมให้ลูกทำชั่วร้อยดวงตาเอาไว้ใช้ จนทรายต้องมารับกรรมที่ตนไม่ได้เป็นคนก่อ

ทรายมาที่วัดแต่แอบนั่งรออยู่ในรถ ไม่ลงไป เมื่องานเลิก รถทยอยกันขับออกจากวัด ทรายตื่นเต้นมากเมื่อได้เห็น ศก เสาวนีย์ และลูกศร อีกครั้งหลังจากผ่านมาสิบแปดปี ทรายนึกถึงคำแม่ที่บอกให้ทรายพยายามอโหสิกรรมให้แก่ทุกคน แต่เมื่อทรายได้เห็นพัชระนั่งอยู่ข้างลูกศร ทรายก็ทำหน้าเหมือนมีแผนการอะไรบางอย่างในใจ เมื่อรถของศกผ่านไป รถอีกคันซึ่งบุรีนั่งอยู่กับเพื่อนๆ ก็ขับผ่านมา บุรีสบตากับทรายโดยบังเอิญ ทรายจำสายตาของบุรีได้แต่คิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่จะเป็นพี่บีของตน
.........................................

เรื่องย่อบทละคร "ทรายสีเพลิง"

ความฝัน: นักเขียนบทละครโทรทัศน์

เรื่อง : เรื่องย่อทรายสีเพลิง (ดัดแปลงจากนวนิยาย "ทรายสีเพลิง" ของปิยะพร ศักดิ์เกษม)

สถานะ : ส่งบทไปประกวดที่ทีวีช่องหนึ่ง ผ่านรอบแรกแล้ว กำลังรอลุ้นรอบต่อไปค่ะ

หมายเหตุ : เขียนไปแบบไร้ทฤษฎีและประสบการณ์ คงมีหลายอย่างที่ต้องปรับปรุงนะคะ ไม่เหมาะกับน้องนักเรียน นักศึกษาจะเอาเป็นต้นแบบ เพราะพี่เขียนแบบด้นเอา อาจจะผิดหลักวิชาได้ แต่ถ้าอ่านเพื่อความบันเทิงหรือแก้เซ็งยามว่างมากจริงๆ ก็คงพอใช้ได้ค่ะ



เรื่องย่อ "ทรายสีเพลิง”

แนวละคร : ชีวิต

แก่นเรื่อง : การแก้แค้นที่นำไปสู่ความสูญเสียของทุกฝ่าย

แนวละคร : นำเสนอเรื่องราวของหญิงสาวที่ปมในวัยเด็กผลักดันให้เป็นคนที่กระหายในชัยชนะ โดยเฉพาะการเอาชนะบุคคลที่เคยทำให้เธอและแม่ต้องคับแค้นใจ เธอใช้เสน่ห์และคุณสมบัติที่เพียบพร้อม ชักใยคนรอบข้างให้เล่นเกมตามที่เธอกำหนด โดยลืมนึกไปว่า เธอไม่อาจสั่งหัวใจของคนทุกคนได้ เหตุการณ์จึงเลยเถิดไปเกินกว่าที่เธอจะควบคุมได้ และนำมาซึ่งความสูญเสียของทุกๆ คนที่เกี่ยวข้อง

เรื่องย่อ

ศรุตา หรือ ทราย เป็นลูกนอกสมรสของศกและดวงตา ดวงตา แม่ของทรายเป็นเด็กที่คุณหญิงศิริ มารดาของศกนำมาเลี้ยงไว้ในบ้าน ในฐานะกึ่งลูกหลานกึ่งบริวาร ด้วยความใกล้ชิดบวกกับความประสงค์ของคุณหญิงศิริที่จะผูกมัดดวงตาให้อยู่รับใช้ตนตลอดไป คุณหญิงศิริจึงรู้เห็นเป็นใจให้ศกและดวงตาได้เสียกัน จนกระทั่งมีทรายขึ้นมา

ดวงตาเจ็บช้ำมาก เมื่อศกแต่งงานกับเสาวนีย์ หญิงสาวผู้เพียบพร้อมทัดเทียมกับเขา และมีลูกสาวด้วยกันคนหนึ่ง ชื่อ ศรวณีย์ หรือ ลูกศร ตั้งแต่ศกมีครอบครัวใหม่ ดวงตาต้องเจ็บช้ำจากการถูกแย่งคนรักและความแตกต่างทางสถานะระหว่างเธอกับเสาวนีย์ โดยไม่รู้ตัว ดวงตาได้ถ่ายทอดความรู้สึกเจ็บแค้นนี้ลงเป็นปมที่ฝังแน่นอยู่ในใจของทราย

ทรายเก่งและเหนือกว่าลูกศร น้องสาวต่างมารดา ที่เป็นเด็กเชื่องช้า หัวอ่อน เพราะได้รับการ ทะนุถนอมดุจไข่ในหิน แต่ทรายก็ไม่ได้รับความรัก ความเอาใจใส่จากพ่อเท่ากับน้อง วันหนึ่ง ทรายทะเลาะกับลูกศรจนเผลอผลักลูกศรตกน้ำ ศกจะตีทรายเป็นการลงโทษ แต่ดวงตาเข้ามาขวางไว้ทัน ทรายเล่าให้ดวงตาฟังว่าตนแอบได้ยินพ่อและย่าคุยกันเรื่อง ‘ร้อยดวงตาเอาไว้ใช้’ ดวงตาจึงตัดสินใจเลิกหลอกตัวเอง และพาทรายหนีจากบ้านไป ดวงตาพาทรายแวะไปอำลาคุณครูใหญ่ของทราย ผู้ที่รับรู้เรื่องราวต่างๆ และเป็นที่ปรึกษาให้กับดวงตามาตลอด และที่นี้ทรายได้พบกับบุรี หรือบี หลายชายวัยสิบสี่ของครูใหญ่ พี่ชายที่แสนอบอุ่นและใจดี ที่ทรายเก็บไว้ในความทรงจำเรื่อยมา

ที่สหรัฐอเมริกา ดวงตาแต่งงานกับมหาเศรษฐีสูงวัยชาวอเมริกัน ที่รักและอุ้มชูทรายราวกับลูกในไส้ ทรายเติบโตเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อมในทุกๆ ด้าน ทั้งรูปโฉม ฐานะการเงิน และการศึกษา แต่ปมในวัยเด็กผลักดันให้ทรายเป็นคนที่ต้องการเอาชนะและพิสูจน์ตัวเองอยู่เสมอ โดยเฉพาะกับผู้ชาย แต่ทรายก็มี ณาน หรือ ชาร์ลส์ เป็นคนที่สนิทสนมผูกพันด้วยมากที่สุด และคิดว่าจะเป็นคนที่ตนลงเอยด้วยซักวันหนึ่ง

ณานเป็นชายหนุ่มที่พร้อมทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติ พ่อของณานมาจากตระกูลเก่าแก่ของไทย ส่วนแอนน์ แม่ของณานเป็นลูกครึ่งอังกฤษและฮ่องกง เมื่อพ่อของณานเสียชีวิตตั้งแต่ณานยังเป็นวัยรุ่น แอนน์ก็เดินทางกลับไปฮ่องกงและแต่งงานใหม่กับมหาเศรษฐีชาวฮ่องกง ฌานได้รับมอบหมายจากพ่อเลี้ยงให้กลับมาดูแลโครงการก่อสร้างคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

เมื่อคุญหญิงศิริถึงแก่กรรม ทรายกลับไปเมืองไทยเพื่อร่วมเปิดพินัยกรรม และได้พบพ่อ เสาวนีย์ และลูกศร ทรายพยายามชนะใจทุกคนด้วยท่าทางที่เป็นมิตรและประจบเอาใจ ศก เมื่อเห็นทรายกลับมาอย่างคนที่ประสบความสำเร็จ เต็มไปด้วยความโอ่อ่า หรูหรา ก็เห่อทรายอย่างมาก และเชื่ออย่างสนิทใจว่า ทรายรักและผูกพันกับทุกๆ คนที่นี้ ในขณะที่เสาวนีย์รู้สึกคลางแคลงใจเกี่ยวกับเจตนาที่แท้จริงของทราย ส่วนลูกศรนั้น ทั้งชื่นชม ยกย่อง และนับถือทรายเป็นพี่สาวด้วยใจจริง

หนทางในการแก้แค้นมาถึงอย่างไม่คาดคิด เมื่อณานแนะนำให้ทรายรู้จักกับ พัชระ คู่หมั้นของลูกศร ทรายรู้ว่าพัชระติดใจเธอตั้งแต่แรกพบ ทรายก็ยิ่งหลอกล่อให้เขาลุ่มหลงเธอมากยิ่งขึ้น เพื่อให้พัชระถอนหมั้นลูกศร ขณะเดียวกัน ทรายก็พยายามผลักดันให้ลูกศรได้ใกล้ชิดกับณาน โดยเริ่มจากการพาลูกศรไปสอนว่ายน้ำที่คอนโดฯ ริมแม่น้ำของณาน และแกล้งเปิดโอกาสให้ทั้งสองได้อยู่กันตามลำพังบ่อยๆ

บุรี ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของฌานและรุ่นพี่ของพัชระ จำได้ว่า ทรายคือเด็กผู้หญิงที่เขาเคยได้พบเมื่อหลายปีก่อน และถึงแม้จะรู้ว่าทรายมีอดีตที่คับแค้น บุรีก็ไม่เห็นด้วยที่ทรายพยายามจะแก้ไขเรื่องราวในอดีต โดยการใช้ประโยชน์และทำร้ายคนอื่นๆ บุรีพยายามเตือนทรายให้ล้มเลิก แต่ทรายก็ยึดมั่นในเป้าหมายของตนเกินกว่าจะยอมถอยหลัง

ทรายแอบหลงรักบุรี เพราะนอกจากบุรีจะทำให้ตนรู้สึกอบอุ่น มั่นคงแล้ว ทรายยังต้องการเอาชนะคนที่ไม่ยอมหวั่นไหวไปกับความน่าลุ่มหลงของตนอย่างบุรีด้วย ทรายหยอกเย้าและยั่วยวนบุรีหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะบุรีมักจะรู้ทันและยอกย้อนกลับ หรือไม่ก็จะกล่าวตักเตือนทรายด้วยความหวังดีให้ทรายล้มเลิกสิ่งที่กำลังทำกับฌานและพัชระเสีย

จริงๆ แล้ว บุรีเองก็แอบมีใจและหวั่นไหวไปกับเสน่ห์ของทราย จนถึงขั้นเผลอไผลจูบกับทรายไปหนหนึ่ง แต่บุรีก็ตั้งสติทันและพยายามอธิบายกับทรายว่า ความรักไม่ควรเริ่มต้นจากความพิศวาสตื้นๆ ระหว่างหญิงชาย และทรายไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้ เพราะพี่บีของทรายคนนี้มีความรักและปรารถดีให้ทรายเสมอ ทรายจึงได้รับรู้ว่า ที่แท้ บุรีก็คือ พี่บีของเธอในวัยเด็กนั่นเอง ทำให้ทรายยิ่งรู้สึกอับอายที่พี่บีมาเจอกับตัวตนที่แสนตื้นเขิน และเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ชิงชังของตนในวันนี้

พัชระรักใคร่ทรายอย่างไม่ลืมหูลืมตาจนขอยกเลิกการหมั้นกับลูกศรในที่สุด เสาวนีย์โกรธมากเพราะรู้ว่าทรายมีเจตนาที่จะแย่งพัชระเพื่อทำร้ายลูกศร แต่ลูกศรกลับรับสถานการณ์ได้อย่างเยือกเย็น เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่พัชระจะหันไปหลงรักคนที่มีเสน่ห์อย่างทราย และเพราะลูกศรเองก็ใกล้ชิดผูกพันกับฌานจนกลายเป็นความรัก

ทรายไม่แปลกใจที่ลูกศรไม่เสียใจนักเรื่องพัชระ เพราะลูกศรคงหลงรักฌานไปแล้ว แต่ทรายก็หวังว่า เมื่อลูกศรถูกฌานปฏิเสธอีกคน ตนก็จะเป็นผู้ชนะในที่สุด แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตรเมื่อฌานเองก็รักลูกศรเหมือนกัน และต้องการที่จะแต่งงานกับลูกศร เพราะลูกศรเป็นคนที่อยู่เคียงข้างร่วมทุกข์ ร่วมสุขกับเขา เมื่อเขาต้องเผชิญกับความทุกข์จากการฟาดฟันกันในอาณาจักรธุรกิจของพ่อเลี้ยง รวมทั้งถูกหักหลังจากแม่แท้ๆ ของตัวเอง

ทรายแทบบ้าเมื่อรู้ว่า แผนของตัวเองไม่เป็นไปตามที่คิดและลูกศรกำลังจะกลายเป็นผู้ชนะอีกครั้งหนึ่ง ทรายเลยจัดการทำให้ลูกศรเข้าใจฌานผิด คิดว่าฌานยังรักทรายอยู่และลูกศรเป็นเพียงของเล่นของฌานเหมือนผู้หญิงอื่นๆ ที่ผ่านมา ลูกศรเสียใจมาก จึงขับเรือที่ใช้เป็นพาหนะเดินทางระหว่างบ้านของตนกับคอนโดฯ ของฌานหนีไป และไปชนเข้ากับเรือลำอื่น จนตัวเองต้องจบชีวิตลง

ฌานเสียใจแทบไม่เป็นผู้เป็นคน เมื่อลูกศรจากไป พัชระและเพื่อนๆ คนอื่นต่างก็เสียใจและเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ว่า ทรายเป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ส่วนทรายเองก็เจ็บช้ำมาก เพราะเรื่องราวได้เลยเถิดไปไกลเกินกว่าที่เธอจะนึกถึง และเพราะลึกๆ แล้ว ทรายเองก็เอ็นดูและมีความรู้สึกที่ดีๆ ให้กับลูกศร

ทรายถูกคนรอบข้างมองด้วยความเดียดฉันท์ว่าเป็นคนที่ร้ายกาจ ทำร้ายได้กระทั่งน้องของตัวเองที่ใสซื่อ บริสุทธิ์ และรักนับถือทรายอย่างจริงใจ เสาวนีย์กลายเป็นคนสติไม่สมประกอบเมื่อได้รับรู้ข่าวร้าย ศกเองก็โกรธแค้นและเจ็บช้ำมากเมื่อรู้ว่า ทรายไม่ได้มีความจริงใจ และมีเจตนาที่จะทำร้ายตนและครอบครัวใหม่ของตนมาตลอด

ทรายไปหาบุรีด้วยน้ำตานองหน้า ขอรับคำตัดสินของบุรีว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของตนเองแต่เพียงคนเดียวหรือ เพราะบุรีเป็นคนที่รู้ดีว่า ตนและแม่เคยเจออะไรมาบ้าง บุรีบอกทรายว่า ตนได้เตือนทรายหลายครั้งแล้วว่าอย่าลบล้างอดีตที่เลวร้ายด้วยการทำสิ่งที่เลวร้ายกลับไป และสิ่งที่ตนต้องการคือ ให้ทรายปรับเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่ให้เป็นคนที่เติบโต งดงาม และขอให้ทรายไปจากที่นี้เสีย ทรายยอมรับคำตัดสินของบุรีแต่โดยดี และสัญญากับตัวเองว่า จะปรับเปลี่ยนตนเองเป็นคนใหม่ที่เติบโตงดงามอย่างที่บุรีต้องการ
...........................

Treatment บทละครทรายสีเพลิงตอนที่ 1

ความฝัน: นักเขียนบทละครโทรทัศน์

เรื่อง : Treatment ทรายสีเพลิง (ดัดแปลงจากนวนิยาย "ทรายสีเพลิง" ของปิยะพร ศักดิ์เกษม)

สถานะ : ส่งบทไปประกวดที่ทีวีช่องหนึ่ง ผ่านรอบแรกแล้ว กำลังรอลุ้นรอบต่อไปค่ะ

หมายเหตุ : เขียนไปแบบไร้ทฤษฎีและประสบการณ์ คงมีหลายอย่างที่ต้องปรับปรุงนะคะ ไม่เหมาะกับน้องนักเรียน นักศึกษาจะเอาเป็นต้นแบบ เพราะพี่เขียนแบบด้นเอา อาจจะผิดหลักวิชาได้ แต่ถ้าอ่านเพื่อความบันเทิงหรือแก้เซ็งยามว่างมากจริงๆ ก็คงพอใช้ได้ค่ะ


ทรายสีเพลิง
ตอนที่ 1

ในงานศพของลูกศร เสาวนีย์ร้องไห้คร่ำครวญอยู่กับศก ณานนั่งอยู่ข้างๆ แขกในงานทำท่าซุบซิบกันถึงเหตุการณ์การเสียชีวิตของลูกศร ทรายขับรถเข้ามาในวัด พยามปรับอารมณ์ทำสีหน้าให้เป็นปรกติ แต่ขณะที่กำลังจะลงจากรถ คุณหญิงศิริก็ปรากฏตัวขึ้นตรงที่นั่งข้างคนขับ ด่าทอทรายด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด ทรายตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่เสียงเคาะกระจกตรงฝั่งของทรายดังขึ้น เมื่อทรายหันไปดูที่กระจกก็เห็นบุริณยืนอยู่ แต่เมื่อหันกลับมาอีกที ภาพของคุณหญิงศิริก็หายไป ทรายลงจากรถแล้วเดินไปที่ศาลาวัดพร้อมกับบุริณ เมื่อถึงบริเวณงาน แขกพากันหันมามองทรายเป็นตาเดียว และเสียงซุบซิบก็เริ่มดังขึ้นอีก ทรายฝืนทำใจแข็งเดินไปไหว้ศพลูกศร ทรายเงยหน้ามองรูปลูกศรที่ติดไว้บริเวณหน้าโลง กล้องจับภาพระยะใกล้ที่ดวงตาของทราย ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์ในอดีต

ทรายในวัยสี่ขวบกำลังรอคนมารับกลับบ้านอยู่ที่โรงเรียนจนค่ำ ดวงตากระหืดกระหอบมารับทรายขอโทษที่ทำให้ครูนารีกับครูอรต้องลำบากอยู่รอ เมื่อกลับมาถึงบ้าน ดวงตาระบายความคับแค้นใจกับอุทิศ คนสนิทในบ้านเรื่องที่เสาวนีย์และลูกที่กำลังจะเกิดของเสาวนีย์เป็นต้นเหตุให้ทรายถูกทิ้งไว้ที่โรงเรียน อุทิศพยายามปลอบดวงตาและแย้งว่า เป็นเรื่องที่ไม่มีใครเจตนาให้เกิด เพราะเสาวนีย์คลอดก่อนกำหนด คนรถเลยจำเป็นต้องเอารถออกไปส่งที่โรงพยาบาลกระทันหันทำให้ไม่มีคนไปรับทราย

คุณหญิงศิริให้คนมาตามดวงตาไปพบเพื่อให้แหวนปลอบใจ ดวงตารับไว้ด้วยท่าทีมึนตึง คุณหญิงศิริเลยบอกให้ดวงตาเอากล่องเครื่องประดับไปเก็บให้ตนแล้วก็จะอนุญาตให้ดวงตากลับไปได้ หลังจากเก็บเครื่องประดับเรียบร้อยแล้ว ดวงตาเดินผ่านหน้าห้องนอนของศก ก็นึกไปถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ตนกับศกเคยมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้ง ก่อนที่ศกจะแต่งงานไปกับเสาวนีย์

ขณะที่ดวงตากำลังจะออกจากตึกใหญ่เพื่อกลับไปที่เรือนของตน ดวงตาก็ได้รู้จากคุณหญิงศิริว่า ศกได้ลูกสาวจากเสาวนีย์ ดวงตาพูดประชดว่า ศกได้ลูกสาวอีกคนแล้วหรือ เพื่อย้ำเตือนคุณหญิงศิริว่า ศกมีทรายเป็นลูกสาวอยู่แล้วคนหนึ่ง คุณหญิงศิริเลยตอบกลับว่า ลูกคนใหม่นี้เป็นผู้หญิงเหมือนทรายก็จริงแต่ศกตื่นเต้นดีใจกับคนนี้มาก เมื่อออกจากตึกใหญ่มา ดวงตาก็น้ำตานองหน้าด้วยความคับแค้น

ศกกับเสาวนีย์เห่อลูกศรมาก แต่เสาวนีย์ประชดศกว่า ลูกศรไม่ใช่ลูกคนแรกของศก ศกคงจะตื่นเต้นตอนทรายเกิดมากกว่า ศกเลยนึกไปถึงเหตุการณ์ในอดีตเมื่อตนและคุณหญิงศิริรู้ว่าดวงตาท้อง ตอนนั้นคุณหญิงศิริกลัวว่า เสาวนีย์จะโกรธเรื่องดวงตาท้องจนไม่ยอมแต่งงานกับศก คุณหญิงศิริกับศกจึงย้ายดวงตาออกจากตึกใหญ่ไปอยู่ที่เรือนหลังเล็กริมคลอง และในขณะเดียวกันก็หวังอยู่ลึกๆ ว่า เมื่อดวงตามีลูกกับศกแล้ว ดวงตาจะอยู่รับใช้คุณหญิงศิริซึ่งมีปัญหาสุขภาพต่อไปนานๆ

ทรายกับลูกศรเติบโตขึ้นมาด้วยกัน โดยที่ทรายเป็นรองลูกศรทุกอย่าง ทรายเคยเจอลูกศรตอนยังเป็นเด็กทารกก็แสดงความสนใจน้อง แต่ก็ถูกศกและเสาวนีย์กันออกไปเหมือนเป็นคนนอก ตอนที่ทรายเข้าชั้นประถม ดวงตาชวนศกไปงานปฐมนิเทศ ศกก็ปฏิเสธเพราะต้องพาลูกศรไปโรงเรียนอนุบาลวันแรก แต่ศกเองก็ยังคอยให้ความหวังดวงตา โดยการมาหลับนอนด้วยเป็นครั้งคราว

ดวงตาเก็บความคับแค้นใจไว้เมื่อต้องขัดสร้อยทับทิมของคุณหญิงศิริให้เสาวนีย์ใส่ออกงานร่วมกับศก ส่วนเสาวนีย์แม้จะทำดีกับดวงตาและทรายก็ทำในลักษณะที่ตนอยู่เหนือกว่า เสาวนีย์ซื้อสารานุกรมมาให้ทราย ดวงตาไม่ยอมรับบอกให้เสาวนีย์เก็บไว้ให้ลูกศร เสาวนีย์เลยสวนว่า ของลูกศรจะต้องเป็นของจากเมืองนอก และให้ดวงตารับสารานุกรมชุดนี้ไว้เสีย

วันหนึ่งเมื่อดวงตากลับจากไปพยาบาลคุณหญิงศิริที่ตึกใหญ่ อุทิศก็พูดกับดวงตาว่า โชคดีที่ดวงตาเรียนพยาบาลมาเลยได้ดูแลคุณหญิงฯ ดวงตาประชดว่า คงไม่ใช่เพราะโชคแต่เพราะคุณหญิงศิริต้องการให้ตนเรียนเพื่อคอยรับใช้มากกว่า อุทิศแย้งว่าถ้ายังงั้นดวงตาก็น่าจะดีใจที่ได้สนองคุณของคุณหญิงศิริ มิฉะนั้นป่านนี้ก็คงอยู่อย่างลำบากที่บ้านนอก ดวงตาบอกว่า ลำบากกายอาจจะดีกว่าทนเห็นภาพบาดตาอยู่ทุกวันแบบนี้ ระหว่างที่ดวงตาและอุทิศคุยกัน ทรายก็มองและฟัง ซึมซับความกดดันที่ดวงตาได้รับไปด้วย

เกิดเหตุการณ์แตกหักเมื่อลูกศรมาเล่นของเล่นที่ทรายวางทิ้งไว้ ลูกศรกับทรายทะเลาะกันจนทรายเผลอกระแทกลูกศรตกน้ำไป ศกและคุณหญิงศิริมาเจอเข้าก็โกรธมาก ศกจะตีทรายแต่ดวงตามาห้ามไว้ทัน ระหว่างที่เดินกลับไปที่เรือนหลังเล็ก ทรายเล่าให้ดวงตาฟังว่า แอบได้ยินพ่อกับย่าคุยกันเรื่อง ‘ร้อย’ ดวงตาเอาไว้ใช้ ดวงตาจึงได้คิด ตัดสินใจเลิกหลอกตัวเองและออกจากบ้านในทันที

ดวงตาไปหาครูนารีที่บ้านเพื่ออำลาไปอยู่ต่างจังหวัด และเพื่อไปเก็บเงินก่อนเดินทางต่อไปที่อเมริกา ดวงตาระบายกับครูนารีด้วยความคับแค้นว่า ตนและทรายได้รับการปฏิบัติเยี่ยงกรวดทรายในบ้านและตนจะไม่มีวันกลับไปเหยียบบ้านหลังนั้นอีก ครูนารีมองทรายด้วยความเป็นห่วงว่าจะซึมซับเอาทัศนคติและความเจ็บช้ำไปจากดวงตา เลยจูงทรายมาฝากกับบุรี หลานชายวัยสิบสี่ของตน ซึ่งทรายได้รู้จักในนามของ “พี่บี” ทรายช่วยบุรีต่อจิ๊กซอว์อันใหญ่ระหว่างที่รอดวงตาคุยกับครูนารี บุรีใส่ใจดูแลทรายเป็นอย่างดี จนทรายเก็บเป็นความประทับใจไว้จนโต